วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: หนุ่มเร่ร่อนกับชายชราเศรษฐี


     คนเรายิ่งฐานะสูงส่งเท่าไร ก็ยิ่งวางตัวตนของตนมาใกล้ชิดสนิทสนมกับคนที่มีฐานะด้อยกว่า หรือเท่ากันได้ยากเท่านั้น ซึ่งในตัวบุคคลเหล่านั้นอาจมีส่งที่เราไม่มี และเป็นสิ่งทีเราควรจะเข้าไปศึกษาเรียนรู้

     "อยู่จนแก่ เรียนจนแก่" คำพูดประโยคนี้ คือบรรทัดฐานของความสำเร็จ แต่จะให้ดีเราควรฉวยโอกาสในช่วงที่อายุยังน้อย วางตัวตนลงเสีย แล้วเราก็จะซึมซับความรู้และแก่นสารของชีวิต ที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสและความเป็นไปได้ ที่จะประสบความสำเร็จให้มากขึ้น ในเวลาอันรวดเร็วยิ่งขึ้น

     ในปีที่เจี้ยนจื้ออายุครบสิบแปด เขาตัดสินใจออกจากบ้านไปแสวงหาความฝันของตน เขาอำลาบิดาไปโดยไม่หันหลังกลับ ช่วงเดือนแรกๆ เขายังไม่มีเป้าหมาย จึงเที่ยวระเหเร่ร่อนไปทั่วทุกสารทิศ

     เขาพบชายชราสามเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ที่เมืองเมืองหนึ่ง ชายชราผู้นั้นถามเจี้ยนจื้อว่า เพราะเหตุใดเขาจึงมาร่อนเร่พเนจร เจี้ยนจื้อจึงบอกเหตุผลที่ออกจากบ้านมา

     หลังจากฟังเรื่องราวของเจี้ยนจื้อแล้ว ชายชราก็ขอให้เจี้ยนจื้อตามเขาไป โดยบอกว่ามีของสำคัญจะให้ดู จากนั้นทั้งสองก็ไปที่ห้องสมุดแห่งหนึ่งด้วยกัน

     ในห้องสมุด ชายชราค้นหนังสือเก่าออกมาหลายเล่ม เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ เจี้ยนจื้อ พลางเอ่ยว่า "พ่อหนุ่ม ฉันจะสอนเธอสองเรื่อง เธอต้องจำไว้ให้ดี เรื่องแรก...จงอย่าตัดสินใจหนังสือว่าดีหรือไม่ดี โดยดูจากหน้าปกเพียงอย่างเดียว เพราะหน้าปกอาจหลอกตาคนได้"

     เจี้ยนจื้อเห็นว่าคำพูดนี้มีเหตุผลจึงพยักหน้า ชายชรายิ้มบางๆ แล้วถามขึ้นว่า "ฉันกล้าพนันเลยว่า เธอคิดว่าฉันเป็นขอทาน ใช่หรือไม่"

     เจี้ยนจื้อตอบอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ "ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ"

     ชายชราบอกว่า "ฉันไม่ใช่ขอทาน ฉันเป็นเศรษฐี ของอะไรที่ผู้คนต้องการฉันมีหมดแล้ว"

     เจี้ยนจื้อรู้สึกกังขา มองเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ที่เขาสวมอยู่แล้วถามอย่างระมัดระวัง "แต่ว่าทำไมเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ดูไม่เหมือนเศรษฐีเลย" ชายชราหัวเราะออกมาเสียงดัง

     "เห็นได้ชัดว่าเธอยังไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดเมื่อครู่ หนึ่งปีก่อนภรรยาฉันตายจากไป ทิ้งให้ฉันอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จากนั้นฉันก็เริ่มคิดทบทวนถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ ฉันจึงเห็นว่ามีเรื่องมากมายในชีวิตที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน อย่างเช่นการเป็นขอทาน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ จงอย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง" ชายชรากล่าว

     เจี้ยนจื้อฟังแล้วคล้อยตามคล้ายจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เขากล่าวขอบคุณชายชราและถามอย่างนอบน้อม "แล้วเรื่องที่สองที่ท่านจะสอนผมคือเรื่องอะไรหรือครับ"

     "ก็คือต้องอ่านหนังสือ เพราะมีสิ่งเดียวที่ผู้อื่นไม่อาจเอาไปจากเธอได้ นั่นคือ สติปัญญา" เมื่อพูดจบชายชราก็เลื่อนหนังสือกองนั้นมาตรงหน้าเจี้ยนจื้อ หนังสือเหล่านั้นเป็นผลงานการประพันธ์ของอริสโตเติลทั้งสิ้น

     หลังจากนั้นหลายปี เจี้ยนจื้อเปิดร้านขายตำราอยู่ในเมือง เนื่องจากเขาอ่านหนังสือมากจึงมีความรู้อย่างกว้างขวาง รู้ตั้งแต่เรื่องดาราศาสตร์จนถึงเรื่องภูมิศาสตร์

     เขาอาศัยความรู้ความสามารถของตนมาช่วยเพิ่มยอดขาย เพราะหากเขาแนะนำหนังสือเล่มใดให้แก่ลูกค้า หนังสือเล่มนั้นก็จะขายดิบขายดี จนไม่พอแก่ความต้องการของลูกค้าทีเดียว

     หลังจากสร้างฐานะจนมั่นคงแล้ว เขาก็ไปรับบิดามาอยู่ด้วย ตลอดเวลาเขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่พอก้าวเท้าออกสู่สังคมก้าวแรกก็ได้พบกับอาจารย์คนสำคัญ ผู้มอบโภคทรัพย์อันล้ำค่าแก่เขา ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดชีวิต


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่?

     ความรู้และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เราสั่งสมไว้ในสมอง เป็นทรัพย์สมบัติที่ผู้อื่นไม่มีวันแย่งชิงไปได้ ลองหวนนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เรายุ่งอยู่กับงานจนลืมหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านหรือเปล่า

     ใช่เพราะมัวหลงระเริงอยู่ในสังคมนานเกินไป จนถูกทัศนะตามกระแสนิยมกลืนกลายไปแล้วหรือเปล่า ตัวเราในยามนี้นับวันยิ่งมองเห็นเป้าหมายตรงหน้าชัดเจน หรือว่านับวันยิ่งไม่รู้ว่าที่แท้แล้วตัวเองกำลังตามหาอะไรอยู่

     ชีวิตเป็นเรื่องสลับซับซ้อน เราไม่อาจอาศัยเพียงสายตามองทะลุสังคมได้ บนเส้นทางที่ได้แต่เดินหน้าไม่อาจถอยหลังได้ มีเพียงสติปัญญาเท่านั้นที่จะอยู่กับเรา ช่วยเราฝ่าฟันขวากหนามและต่อสู้จนถึงที่สุด

Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น - หนังสือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น