ขณะที่ผู้คนจำนวนมาก จะต้องเรียนรู้ถึงวิธีปฏิบัติงาน ฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการ ไปสู่ความสำเร็จนั้น มีบางคนที่มีความชำนาญเป็นพิเศษอยู่ในตัว อันเป็นผลให้งานของเขาบรรลุความสำเร็จได้ด้วยดี
อย่างเช่น นักวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อของสหรัฐฯ แซม วูดลีย์ นักวิทยาศาสตร์แห่ง สมาคมวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าของอเมริกา ยอมรับนับถือเขา ในฐานะที่ตลอดเวลา 25 ปี วูดลีย์ได้ดำเนินงานของสมาคมฯให้เป็นไปอย่างดียิ่ง
นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งในจำนวนนั้น ได้กล่าวยกย่องเขาไว้ว่า
"เป็นคนที่ทำสิ่งต่างๆ สำเร็จลุล่วง รวดเร็วดุจพายุ"
และอีกคน พูดอย่างชื่นชมต่อความชำนาญว่า
"เขามีสมรรถนะอันน่าพิศวง ในการแยกแยะสิ่งสำคัญ ออกจากสิ่งไม่สำคัญ"
ในรัฐอิลลินนอยส์ อันเป็นบ้านเกิดของ แซม วูดลีย์ เริ่มแรกตอนอายุ 14 ปี เขาทำงานในระดับต่ำควบคู่กับการเรียนรู้วิชาบัญชีทางไปรษณีย์ และเรียนชวเลขในตอนค่ำ
หลังจากได้เข้าทำงานในตำแหน่งเสมียนที่สมาคมวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า เขาก็ศึกษาภาคค่ำในมหาวิทยาลัย จนได้รับปริญญาสาขาวิทยาศาสตร์ในที่สุด
---
อเล็กซานเดอร์ แลกก์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดมามีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการทำงานให้ได้ผลสำเร็จยอดเยี่ยม ซึ่งกล่าวได้ว่า ความลำบากยากไร้ในวัยเด็กนั่นเอง ที่อบรมบ่มนิสัยเข้าในเรื่องนี้
หลังจากบิดาของเขา อพยพมาตั้งหลักปักเรือน อยูในสหรัฐไม่นานนักก็เอาตั๋วแลกเงินที่เก็บออมไว้ มาแลกเป็นดอลลาร์อเมริกัน
แต่โชคร้ายอย่างยิ่ง ที่พ่อของเขาถูกโกง โดยได้รับดอลลาร์ปลอม
เมื่อเป็นเช่นนั้น ครอบครัวพเนจรนี้จึงต้องเผชิญกับความยากไร้อยู่ในรัฐวิสคอนซิล 2-3 ปี ก่อนจะย้ายไป เนบราสกา เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ตอนนั้นอเล็กซานเดอร์อายุแค่ 10 ปี แต่เขาก็ทำงานหนัก เพื่อหาเงินช่วยครอบครัว
พออายุ 25 ปี เขาก็ตัดสินใจทิ้งอาชีพคาวบอย ซึ่งต้องจมปลักอยู่กับกลิ่นวัวสาบควาย โดยเห็นว่า น่าจะหาเงินได้มากกว่า ถ้าเข้าไปในเมืองใหญ่อย่าง โอมาฮอ เพื่อหางานทำ
อเล็กซานเดอร์ได้งานกับบริษัทสาขา ซึ่งผลิตเครื่องเกี่ยวข้าว ชื่อ แม็คคอร์มิคก์ ในเมืองดังกล่าว โดยอยู่ในตำแหน่งอันไม่น่าอภิรมย์นัก นั่นคือ เก็บเงินจากลูกค้าที่เล่นแง่ และค้างชำระมาเป็นเวลานาน
แต่เขาก็ทำงานนี้ได้ผลอย่างคาดไม่ถึง
ต่อมาอีกไม่กี่ปี แม็คคอร์มิคก์ ซึ่งเป็นประธานของบริษัท ก็ย้ายอเล็กซานเดอร์มาสู่ตำแหน่งสูงกว่าประจำสาขาชิคาโก หลังจากได้ตระหนักในความสามารถของหนุ่มโคบาลชาวสก็อตผู้นี้
และในที่สุด บริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท อินเตอร์เนชันแนล ฮาร์เวสเตอร์" โดยมีเขาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานฯ
แม็คคอร์มิคก์ ก็พูดถึงอเล็กซานเดอร์ไว้ว่า
"เขาทำงานได้ผลเยี่ยมเสมอ ดำเนินการทำงานทุกอย่าง ด้วยความเชี่ยวชาญและไม่ปล่อยให้งาน มาสร้างความกลุ้มใจให้แก่เขา"
ซึ่งเหตุนี้เอง ทำให้อดีตคนต้อนวัวผู้นี้ สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานบริษัทอย่างมั่นคง เมื่อแม็คคอร์มิคก์ปลดตัวเองออกพักผ่อนในวัยชรา
---
จากวัยเด็กเป็นต้นมา เบนจามิน แฟรงคลิน ได้สังเกตวิธีการปฏิบัติงานที่ได้รับความสำเร็จอย่างถี่ถ้วน
เมื่ออายุ 10 ปี เขาสามารถช่วยผู้เป็นบิดา หมักเนื้อเค็ม บรรจุถังเก็บสำรองไว้กินในครอบครัว
และเนื่องจากพ่อแม่ มีลูกถึง 16 คน จึงต้องใช้เนื้อจำนวนมากและการทำงานเปรอะเปื้อนชนิดนี้ ก็เสียเวลาไม่น้อยทีเดียว
แฟรงคลินถึงกับหลั่งเหงื่อชโลมกาย จนเสื้อเชิ้ตเปียกชุ่ม ทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นเนื้ออันน่าคลื่นเหียน
แต่เขาก็ทำงานอย่างเต็มอกเต็มใจ พร้อมกับคิดล้ำหน้าไปไกล
เมื่อถังไม้ขนาดใหญ่ บรรจุเนื้อหมักเกลือจนเกือบเต็ม แฟรงคลินก็พูดขึ้นว่า
"พ่อสวดมนต์กับเนื้อในถังนี้ทั้งหมดทีเดียวก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องสวดกันบ่อยๆทุกๆมื้อๆ ทุ่นเวลาและแรงงานตั้งแยะแน่ครับ"
มารดาของเขา ผู้ปรารถนาอย่างยิ่งจะให้แฟรงคลินเป็นนักบวช ถึงกับทำสีหน้ากระอักกระอ่วน เมือได้ยินคำแนะนำของลูกชายเข้า
หลายปีต่อมา เบนจามิน แฟรงคลิน ใช้หลักการเดียวกันนี้ช่วยในการทำงานของตัวเองได้ผลยอดเยี่ยม โดยเขากล่าวไว้เป็น "ปรัชญาแห่งการทำงาน" ไว้ว่า
"คุณมีอะไรสำหรับทำพรุ่งนี้หรือเปล่า ถ้ามีก็จงทำมันเสียวันนี้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น