"เราควรตระหนักไว้ว่าสี่แยกที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ไม่มีสัญญาณไฟจราจร"
Ernest Hemingway
ลองสมมติว่าคุณเป็นพนักงานบริษัทที่มีลูกสาวเรียนอยู่ชั้นอนุบาลคนหนึ่ง และบังเอิญเย็นนี้คุณมีนัดหมายซ้อนกันดังต่อไปนี้ คุณจะทำอย่างไร
1. นัดหมายของบริษัท
ลูกค้าคนสำคัญจากต่างประเทศบินมาเยี่ยมชมบริษัท และต้องการพูดคุยกับคุณที่เป็นหัวหน้าหรือผู้รับผิดชอบโครงการ ซึ่งเขาจะต้องเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ จึงต้องคุยกับคุณภายในเย็นนี้เท่านั้น และคุณมีเพียงคนเดียวที่จะต้องไปคุยกับลูกค้า เพราะงานนี้คุณเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบ
2. นัดหมายของครอบครัว
เย็นนี้มีงานนิทรรศการทางวิชาการครั้งแรกของโรงเรียนลูกสาว ซึ่งลูกสาวของคุณรับบทนางเอกในการแสดงละครชั้นอนุบาล ตอนที่รู้เวลาแสดงละครคุณสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าจะต้องไปให้ได้ เพราะคุณไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกสาวมากนัก เนื่องจากติดงานบริษัทอยู่เสมอ จึงพูดยืนยันสัญญานี้อยู่หลายครั้ง
3. นัดหมายส่วนตัว
หลังจากที่ไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวมานาน เมื่อไม่นานมานี้ วงร็อคสุดโปรดตั้งแต่สมัยยังหนุ่มของคุณได้เตรียมจัดงานคอนเสิร์ตและจะมีขึ้นในเย็นนี้ ช่วงวัยหนุ่มของคุณเคยหัวเราะและร้องไห้กับพวกเขามาแล้ว พวกเขาตั้งใจทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกก่อนจะยุบวง ซึ่งประเทศที่คุณอยู่เป็นเวทีสุดท้าย และคุณได้ซื้อตั๋วเตรียมไว้นานแล้วถึงสองใบ แต่ลืมสนิทว่าเป็นเย็นวันนี้
คำถามที่สำคัญก็คือ ช่วงเย็นวันนี้ คุณจะไปที่ไหนดี?
แต่นี่ว่าเป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจยากที่สุด ต่างจากตอนเป็นหนุ่มโสดที่คุณยังพอหาทางเอาตัวรอดได้ สำหรับคนที่ทำงานแล้วและต้องให้ความสำคัญกับครอบครัว บ่อยครั้งที่ต้องเจอเหตุการณ์บีบบังคับให้เลือกด้วยความหนักใจ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างที่ทำงาน ครอบครัวและตัวเอง จึงไม่ค่อยลงรอยกันมากนัก รูปแบบปัญหานี้เรียกว่า 3 dilemmas หรือความทับซ้อนที่จะต้องเลือกระหว่างสามทางเลือกที่มีอยู่ หรือ เรียกอีกอย่างว่า ไตรวิกฤตของผู้ใหญ่
ที่ทำงาน ครอบครัว หรือตัวคุณเอง ย่อมมีคุณค่าที่แตกต่างกัน ถ้าหากเราต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกย่อมต่างกัน
ทว่าการทำงานด้วยแนวคิดอบบเฟาสต์ ที่เป็นรูปแบบการทำสัญญา ที่คุณต้องสละทุกอย่างเพื่อความสำเร็จในที่ทำงานได้ วันหนึ่งข้างหน้าคุณย่อมเหลือแต่ความว่างเปล่าแน่นอน ขณะที่บางประเทศที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน อาจเลือกครอบครัวเป็นอันดับแรก
ความจริงแล้วคอนเสิร์ตของวงโปรดอาจเป็นตัวเลือกที่ถูกเลือกน้อยที่สุด แต่ถ้าเลือกจากระดับ "ความต้องการ" ของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าคอนเสิร์ตอาจเป็นที่หนึ่ง ซึ่งคนที่ทำตามความต้องการนี้ได้คงมีไม่มาก เนื่องจากคนที่ได้รับผลกระทบมีคุณเพียงคนเดียว แต่ถ้าเกิดคุณพลาดนัดหมายของบริษัทหรือการแสดงของลูกสาว อาจถูกคนในครอบครัวหรือบริษัทตำหนิอย่างรุนแรง ส่วนกรณีเรื่องคอนเสิร์ต ถ้าทำใจได้ก็คงจบลงอย่างไร้ปัญหา เพราะว่าคนเรามักเลือกสิ่งที่ถูกตำหนิน้อยที่สุด มากกว่าเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบมากที่สุด
และไม่ว่าคุณจะเลือกข้อใดที่ยกตัวอย่างมาก็ตาม การปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่นอกจากจะยากแล้ว ยังทำให้ "เรา" เศร้าใจได้อีกด้วย
สิ่งสำคัญ คือ ความสมดุลของชีวิต อันที่จริงทำให้ตัวเองลำบากใจไม่ใช่สถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่เป็นเพราะแนวคิดฝังใจที่ว่า "ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงภูมิ" ต้องซื่อสัตย์กับบริษัท ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว และกระทั่งต่อตัวเอง โดยที่คุณต้องทำทุกสิ่งให้ได้อย่างเต็มที่ แต่การจะเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงนั้น อาจเป็นการปรับความยืดหยุ่นของตัวเอง เพื่อรักษาความสมดุล ขณะกำลังเดินไต่เชือกระหว่างหน้าผา "สิ่งที่จำเป็นต้องทำ" กับ "สิ่งที่ฉันอยากทำ"
เพราะที่สุดแล้วคำว่าชีวิต ก็คือ การโยนบอลสามลูก ที่คุณต้องควบคุมสมดุลระหว่างตัวเอง ครอบครัว ที่ทำงานให้สัมพันธ์กัน หลักสำคัญของการโยนบอล คือ หลังจากโยนบอลขึั้นไปแล้ว เราจะไม่ควบคุมและปล่อยมันไป โดยไม่ต้องสัมผัสลูกบอลที่กำลังลอยอยู่ จนกว่าลูกบอลจะหล่นแตะมือ เมื่อถึงจังหวะที่เหมาะสม แล้วค่อยโยน-รับลูกบอลให้สมดุลกันไปเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่จำเป้นก็คือ การแยกประสาท แบ่งน้ำหนักให้ความสำคัญของแต่ละสิ่งให้สัมพันธ์กัน
ที่สุดแล้วชีวิตจึงไม่ต่างจากการเล่นกายกรรม คุณต้องพยายามสับเปลี่ยนหมุนเวียนสิ่งที่ทำ ซึ่งถ้าเกิดลูกบอลลูกใดลูกหนึ่งตกพื้น ข้อสำคัญคือ คุณห้ามคุกเข่านั่งลงเก็บ เพราะว่าบอลลูกอื่นที่ลอยอยู่จะหล่นลงมาได้
ถ้าคุณสงสัยว่า สำหรับคำถามข้างต้น ควรทำอย่างไร สมมติว่าเป็นผม เหตุการณ์ที่ว่าน่าจะออกประมาณนี้
ก่อนอื่นผมคงมุ่งตรงไปที่นิทรรศการให้ลูกสาวเห็นหน้าสักนิด แต่เนื่องจากท้องถนนตอนเลิกงานเป็นเวลาที่รถติดอย่างหนักและละครก็เริ่มแสดงแล้วด้วย ผมจึงได้รับข้อความจากภรรยาที่ตำหนิด้วยความโกรธว่า มาถึงตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ผมจึงเปลี่ยนใจเลี้ยวรถกลับไปหาตัวแทนบริษัทคู่ค้าทันที แต่เมื่อมาถึงที่นัดหมายปรากฎว่า ลูกค้าคนสำคัญรอนานจนเหนื่อยและกลับไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว ผมคิดว่าอย่างน้อยน่าจะไปชมคอนเสิร์ตช่วงท้าย จึงรีบบึ่งรถไปยังสถานที่แสดงคอนเสิร์ต แต่ปรากฎว่ามันเพิ่งจบไปก่อนหน้าผมมาถึงครู่เดียวเท่านั้น
แค่คิดก็เศร้า ความลำบากของชีวิตผู้ใหญ่
แต่คิดว่าถ้าเป็นคนฉลาด ไม่แน่ว่าอาจทำแบบต่อไปนี้
เขานัดพบลูกค้าบริเวณใกล้ๆสถานที่จัดงานโรงเรียนของลูกสาวแล้วชวนเข้าไปที่งานด้วยกัน พร้อมบอกว่าอยากแนะนำคนในครอบครัวให้รู้จัก เมื่อการแสดงเริ่มต้น ก็ฝากของขวัญและทิ้งข้อความไว้ให้ลูกสาว ฝากขอโทษว่าไม่สามารถอยู่ดูจนจบได้ แล้วค่อยปลีกตัวออกมา หลังจากนั้นก็ขอบคุณลูกค้าที่อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาเจอกันที่นี่ ก่อนเอ่ยปากชวนให้ไปดูคอนเสิร์ตที่จองตั๋วไว้ล่วงหน้าด้วยกัน และหลังจากดูคอนเสิร์ตจบก็พาลูกค้าไปดื่มเบียร์สดเพื่อผ่อนคลาย พร้อมกับคุยเรื่องงานต่อ
หลังจากแนะนำครอบครัวที่เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตแถมยังได้ดูคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของวงร็อคสุดเจ๋งด้วยกัน ทั้งสองฝ่ายก็คงจะสนิทกันมากขึ้น และเชื่อว่าน่าจะส่งผลดีทางด้านธุรกิจอีกด้วย
Cr. พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ - คิมรันโด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น