ซีตา 712 ห่างจากโลกที่เขาอยู่ยี่สิบสองปีแสง เคยเป็นดาวเคราะห์ขนาดยักษ์โคจรรอบดาวซีตา แต่เมื่อดวงอาทิตย์ของมันดับ ทิศทางการโคจรของดาวเคราะห์ดวงดังกล่าวก็เปลี่ยนไป กลายเป็นซากดาวเคราะห์ซึ่งเดินทางไปโดยไม่โคจรดวงอาทิตย์อีกต่อไป
บริษัทเพชรแห่งหนึ่ง ค้นพบว่า ซีตา 712 กำลังวิ่งตรงเข้าหาดาวเอรากอน หนึ่งในดาวเคราะห์ที่พวกเขาใช้ทำเหมืองเพชร และจะชนโลกเหมืองเพชรแห่งนั้นในอีกสิบสองปีข้างหน้า
ชาเรียน ซึ่งเป็นนักบินอวกาศ จึงได้รับการว่าจ้างจากบริษัทเพชรแห่งนี้ไปทำลายดาวซีตา 712 ต่อมา เมื่อเขาขับยานไปวางระเบิดดาวเคราะห์ดวงนั้น เขาจึงค้นพบว่า ซีตา 712 เป็นดาวเคราะห์ที่เป็นเพชรทั้งดวง ทำให้รู้เหตุผลที่แท้จริงของการทำลายดาวเคราะห์ดวงนั้น
ซีตา 712 มีปริมาณเพชรมากพอที่จะขุดออกมาใช้ได้นานหลายพันปี ดาวเคราะห์ดวงนี้จะทำให้ราคาเพชรตกลงมาอย่างฮวบฮาบ จนแทบไร้ค่า บริษัทฯจึงต้องทำลาย ซีตา 712 เพื่อรักษาราคาเพชรในตลาดตามที่พวกเขากำหนด
---
นี่เป็นนิยายไซไฟชื่อ คนเสเพล* ซึ่งคุณวินทร์ เลียววาริณ เขียนเมื่อสิบปีก่อน (* จากรวมเรื่องสั้นชุด จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย) ทว่าไม่นานมานี้ในโลกของความจริง นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวเคราะห์ที่เป็นเพชรจริงๆ
ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างจากโลกเราประมาณสี่พันปีแสง โคจรรอบดาวนิวตรอนดวงหนึ่ง หนึ่งรอบกินเวลาสองชั่วโมงสิบนาที มันเป็นดาวเคราะห์มวลสูง ประกอบด้วยคาร์บอนอัดแน่นมหาศาล นักวิทยาศาสตร์คำนวณความหนาแน่นแล้วเชื่อว่าธาตุคาร์บอนในดาวเคราะห์ดวงนี้ตกผลึกเป็นเพชร
เช่นเดียวกัน ถ้าเราขุดเพชรจากดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ดวงนี้มาได้เมื่อใด ราคาเพชรในตลาดโลกก็คงมีค่าพอกับกรวดทราย เพราะใครๆก็มีเพชรมาประดับตัวได้ง่ายๆ ทว่ามองอีกมุมหนึ่ง คงไม่มีใครคิดเอาเพชรไร้ค่ามาประดับตัว เหมือนกับที่ไม่มีใครเอากรวดมาประดับตัวในตอนนี้ เหตุผลเดียวคือของยิ่งมีมาก ค่ายิ่งน้อย เมื่อได้มาง่ายๆ ก็ไร้ค่า
จะเห็นว่า
‘ราคา’ ขึ้นกับ Supply มีน้อยราคาก็สูง
ราคาไม่เกี่ยวกับ ‘ดี’ เสมอไป
ความจริงเพชรก็เป็นเพียงธาตุคาร์บอนที่บังเอิญอยู่ในใต้ดินลึกมากๆ แรงกดดันมหาศาลและความร้อนทำให้คาร์บอนอัดแน่นจะเป็นเพชร (เพราะมันอัดแน่น มันจึงเป็นธาตุที่แกร่งที่สุดในโลก) เมื่อเกิดภูเขาไฟระเบิด ลาวาใต้โลกก็ผลักเพชรข้างล่างพุ่งขึ้นมาบนผิวโลก วันดีคืนดีก็มีคนขุดมาขาย แย่งกันฆ่ากันตายเพื่อมัน ทั้งที่ใช้กินก็ไม่ได้ มันมีค่าก็เพราะมันหายาก
ในการผลิตเหรียญใช้ในประเทศ รัฐบาลจะระวังไม่ให้ค่าของเหรียญสูงกว่ามูลค่าเหรียญ ยกตัวอย่างเช่น เหรียญหนึ่งบาทต้องทำด้วยโลหะมูลค่าไม่เกินหนึ่งบาท เนื่องจาก หากค่าของเหรียญเกินมูลค่าของมัน ก็จะมีคนเอาเหรียญไปหลอมขายโลหะได้กำไร
คนจำนวนมากมองไม่ออกว่า ของดีกับของแพงไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกัน สินค้า ‘เลอค่า’ อาจมีราคาสูงเพราะปัจจัยต่างๆ ซึ่งไม่ใช่คุณภาพสินค้า ภาพเขียนบางภาพแพงเพราะมันเปนของเก่า ไม่ใช่คุณค่าทางศิลปะ แม้แต่งานเขียนของนักเขียน เพลงของนักร้องจำนวนไม่น้อยก็มักมีราคาสูงขึ้นเมื่อสร้างสรรค์งานตาย
คุณค่าของสิ่งของจึงอยู่ที่การสมมุติ
เคยสงสัยไหมว่า ตัวเราแต่ละคนมีมูลค่าจริงเท่าไร
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีจับชาวยิวหลายล้านคนไปฆ่า ฆ่าแล้วก็เอาเส้นผมไปทำเครื่องนุ่งห่มกันหนาว ไขมันใช้ทำสบู่ ฯลฯ ดังนั้นมองแบบคนเป็นสิ่งของ คนก็มีราคา
ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุต่างๆ มากมาย เช่น คาร์บอน, ไนโตรเจน, ฟอสเฟอรัส, โปแตสเซียม, ซัลเฟอร์, โซเดียม, แมกนีเซียม, สังกะสี, ไอโอดีน, ไททาเนียม, โครเมียม, แมงกานีส, ลิเทียม ฯลฯ
สมมุติว่าเราสลายร่างกายเราออกเป็นธาตุทางเคมีล้วนๆ ไม่คิดเรื่องการขายอวัยวะ เช่น ไต เราก็สามารถเอาธาตุต่างๆ ไปทำประโยชน์ได้เหมือนที่เราขุดธาตุต่างๆ มาจากธรรมชาติ
มีผู้คำนวณคร่าวๆ ว่าคนน้ำหนัก 80 กิโลกรัม ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ในร่างกายซึ่งเมื่อสกัดออกมาแล้วจะมีค่าประมาณ 160 ดอลลาร์ ราวหกพันบาท นี่คือมูลค่าทางกายภาพของเรา
...
ค่าตัวของคนเป็นการตีมูลค่าตามสิ่งที่สมองและการกระทำ ไม่ใช่ที่ตัวร่างกาย ใครจะไปปั่นราคาตัวเองสูงเท่าไร ก็ว่ากันไป เช่น คนเก่งอาจเรียกร้องเงินเดือนสูงๆ ดารานักแสดงหน้าตาดีก็อาจมีโอกาสทำเงินมากกว่า บางคนสามารถสร้างมูลค่าของคนสูงกว่า 160 ดอลลาร์หลายเท่า บ้างก็สร้างคุณงามความดีมากเกินกว่าจะประเมินได้ แต่มูลค่าจริงของร่างกายก็ยังแค่ 160 ดอลลาร์
ตลอดชีวิตคุณกินและใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปมากกว่าราคาของคุณเองหลายพันเท่า คุณเป็นหนี้โลกใบนี้มากเกินกว่าที่เราจะชดใช้ได้หมด จึงควรที่จะถามตัวเองเป็นระยะๆ ว่า คุณทำประโยชน์อะไรบ้างแก่โลก ถ้าสิ่งที่คุณทำมีค่าต่อโลกมากกว่า 160 ดอลลาร์ ก็คือไม่เสียชาติเกิด คนบางคนกินข้าวอิ่ม ไม่ทำอะไร ตรงข้ามยังทำลายสังคม
บางครั้งราคาก็ถูกกำหนดด้วยหัวใจของเรา
สามีภรรยาบางคู่ก่อนแต่งมองเห็นคู่ของตนมีราคาสูง เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม แต่ครั้นเบื่อหน่าย ก็ประกาศยกให้คนอื่น แถมเงินให้ด้วย
หรือในเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ตัวละครคนหนึ่งจุดไฟเผาธนบัตรเพื่อหาเหรียญที่เขาทำตกบนพื้น เหรียญนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าธนบัตรที่เขาเผาทิ้งมาก แต่เนื่องจากมันมีราคาทางจิตใจสำหรับเขา ทำให้เขาจึงยอมจุดไฟเผาธนบัตร
เคยถามตัวเองไหมว่าเรามีราคาทางจิตใจต่อคนอื่นสูงแค่ไหน?
เคยถามตัวเองไหมว่าเราเป็นเพชรหรือกรวด?
ราคาทางกายภาพของทุกคนใกล้เคียงกัน
ความแตกต่างอยู่ที่คุณสามารถสร้างราคาได้สูงกว่านั้นมากเท่าไร
คุณค่าขึ้นกับสิ่งที่เรากระทำ จนเมื่อคุณจากโลกไปนานแล้ว
คนอื่นยังจดจำ ‘ราคา’ ทางใจของคุณได้ไม่รู้ลืม
Cr. วินทร์ เลียววาริณ - Fackbook Official Page
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น