วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: เมืองในอุดมคติ


    ชายผู้หนึ่งเดินทางมาไกลจนถึงเมืองเมืองหนึ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายผู้นี้เฝ้าแสวงหาเมืองในอุดมคติของตน เพื่อจะพำนักอยู่ไปตลอดชีวิต

    เมื่อเดินทางมาถึงประตูเมือง ชายผู้นั้นก็หยุดฝีเท้าลง เขาเห็นชายชรานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปไม่ไกล จึงเดินเข้าไปหาชายชราผู้นั้น แล้วเอ่ยถาม

    "ลุงครับ ขอรบกวนถามสักหน่อยเถิด คนเมืองนี้อัธยาศัยดีหรือเปล่า"

    ชายชราบอกว่า "พวกเขามีน้ำใจไมตรีต่อฉันมาก แต่ไม่รู้ว่ากับคนแปลกหน้า เขาจะเป็นมิตรเช่นนี้หรือเปล่า"

    ชายผู้นั้นไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดก็ออกจะผิดหวัง เขานั่งลงข้างๆ ชายชรา คิดจะพักเหนื่อยสักครู่ และอยากจะลองไตร่ตรองดูก่อน ค่อยตัดสินใจว่า จะเข้าไปในเมืองหรือไม่

    ในเวลานั้นเอง ชายอีกคนหนึ่งก็ผ่านมาที่หน้าประตูเมือง และเดินตรงมาหายังชายทั้งสอง จากนั้นก็เอ่ยถามพวกเขาว่า

    คนเมืองนี้เป็นมิตรดีหรือไม่ ทั้งยังเล่าว่า ชาวบ้านในเมืองที่เขาเพิ่งผ่านมาเป็นมิตรกับเขามาก ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง

    ชายคนแรกฟังแล้วรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาเองก็เพิ่งกลับมาจากเมืองที่ว่านั้นเช่นกัน แต่ชาวบ้านในเมืองนั้น ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชายิ่ง เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกไม่ดีต่อเมืองนั้น และคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ชายผู้นี้ประสบ จะตรงข้ามกับเขาอย่างสิ้นเชิง

    ชายคนแรกรู้สึกคลางแคลงใจ ในคำพูดของชายคนที่สองเป็นอย่างมาก ทว่า เขาก็จนปัญญาจะโต้แย้ง

    เวลานี้มาชายอีกคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูเมือง และเขาก็เดินตรงมาถามคำถามเดียวกันว่า คนเมืองนี้มีท่าทีอย่างไรต่อผู้อื่น เพราะเขาประสบปัญหามากมายจากเมืองที่เพิ่งผ่านมา บางคนก็เป็นมิตรกับเขามาก แต่บางคนกลับเมินเฉย และยังเล่าว่าเขาเกือบจะถูกปล้น กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หายอกสั่นขวัญแขวน

    ชายคนแรกฟังแล้วแอบนึกดีใจที่ตนไม่พบเรื่องน่ากลัวเช่นนี้ ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์ เพราะอะไร ทุกคนต่างก็เคยไปเมืองเดียวกัน แต่สิ่งที่พบเจอกลับแตกต่างกันอย่างมาก

    ในเวลานั้นเอง ชายชราก็เอ่ยขึ้นมา "ฉันใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้มานานหลายปีแล้ว ฉันคิดว่าเมื่อพวกท่านเข้าไปในเมืองนี้ พวกท่านจะพบว่า สิ่งที่พบเจอไม่แตกต่างอะไรจากเมืองที่เพิ่งผ่านมา"

    "เพราะอะไร" เมื่อได้ฟังคำพูดของชายชรา ชายทั้งสามต่างก็แปลกใจ

    ชายชราหัวเราะแล้วตอบว่า "ก็ไม่เพราะอะไรหรอก แต่นี่คือความเป็นจริง"

    ชายผู้นั้นจมอยู่ในความครุ่นคิดอย่างยาวนาน หรือว่าโลกนี้จะไม่มีเมืองในอุดมคติอยู่จริง หรือว่าเขาควรจะล้มเลิกความคิดในการตามหาสวนสวรรค์ที่ใฝ่ฝันไปเสีย


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่

     ในโลกนี้ อุดมคติและความเป็นจริงแตกต่างกันอยู่พอสมควร ไม่ว่าอะไรก็ไม่แน่นอน การใช้เพียงสมมติฐานมาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเป็นเพียงการมองเหตุการณ์จากด้านใดด้านหนึ่งด้านเดียวเท่านั้น

     ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องนำอุดมคติมาปรับเปลี่ยนความเป็นจริง ไม่ใช่นำความจริงมาปฏิเสธอุดมคติ อย่าเอาคำพูดของผู้อื่นมาเก็บไว้ในใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นประสบการณ์ของพวกเขาไม่ใช่ของท่าน ควรเข้าไปสัมผัสทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วจึงค่อยเชื่อ เช่นนี้ จึงจะมีวันที่ความฝันกลายเป็นความจริง

     บางครั้งเราเชื่อคำพูดของคนบางคน จากนั้นก็ไปทำเรื่องบางอย่าง หรือหลีกเลี่ยงที่จะทำเรื่องบางอย่าง ทว่าการเชื่อฟังผู้อื่นเป็นเรื่องถูกต้องเสมอไปจริงหรือไม่ เส้นทางชีวิตของท่าน ตัวเองควรเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเดินไปอย่างไร

     "อย่าทำให้เป้าหมายในชีวิตของท่านสั่นคลอน มิฉะนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทุ่มเทลงไปทั้งหมดจะสูญเปล่า" --ปีเตอร์ ออสกูด

Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น