วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ความรักและความจริง


"ถ้าอยากดึงศักยภาพสูงสุดของใครบางคนออกมา
เขาคนนั้นจำเป็นต้องได้รับทั้งความรักและความจริง"


        นี่เป็นหนึ่งใน 26 ข้อที่อยู่ในหนังสือ Power Relationships หรือชื่อแปลเวอร์ชันไทยชื่อว่า "กฎแห่งความสนิท ใช้แค้วันละนิด เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งสองฝ่าย" ลิขสิทธิ์ไทยโดย สำนักพิมพ์ WE LEARN

        ในหนังสือเล่มดังกล่าว จะมีการบอกกฎของความสัมพันธ์ ตัวอย่างหรือเรื่องเล่าที่ทำให้เข้าใจกฎดังกล่าวได้มากขึ้น และจบด้วยการสรุปวิธีการนำไปใช้ ถือเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมแนะนำ

        ที่ข้อความโปรยไว้ข้าวต้นสุดก็เช่นเดียวกัน ได้ยกตัวอย่างของกรณีตัวอย่างของ โยฮัน โอลาฟ คอสส์ ผู้มีสัญชาตินอร์เวย์ และเป็นนักสเกตผู้คว้า 4 เหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวเมื่อสิบปีก่อน เขาได้สร้างสถิติโลกขึ้นมาใหม่ถึงสามครั้งในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และตลอดอาชีพนักสเก็ตเขาก็ทำลายสถิติโลกไปแล้วถึงสิบครั้ง จนหลายคนมองว่าเขาคือนักกีฬาสเก็ตความเร็วที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬา

       โยฮันคงประสบความสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้โค้ชที่เขาใกล้ชิดที่สุดสองคนนี้ คอยแนะนำ

       คนแรกเข้ามาตอนที่โยฮันมีอายุได้ 7 ขวบ ตอนนั้นเขาเล่นสเก็ตกับเด็กกลุ่มใหญ่

       "ผมห่วยที่สุดในกลุ่มเลย ผมเล่นไม่ได้เรื่องเลย แต่โค้ชคนนี้คงเห็นบางอย่างในตัวผม" โยฮันเล่า

       โค้ชคนที่กำลังเอ่ยนี้ชื่อว่า "สไวน์ โฮวาร์ด สเลตเทน"

       โยฮันเล่าต่อว่า "ระหว่างที่ผมได้ฝึกกับเขา ผมรู้เลยว่า เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเขา คือ การเป็นผู้ชนะ และนั่นคือ ความฝันของผมเหมือนกัน"

       สไวน์ โค้ชของเขาได้คอยผลักดัน ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ทำอย่างไม่ลดละทุกวัน เป็นการฝึกที่มีความเข้มงวดมาก แต่สิ่งหนึ่งที่โยฮันไม่ชอบเอาเสียเลย นั่นคือ คำวิจารณ์แรงๆ เมื่อเขาทำพลาด อย่างไรก็ตาม โยฮันก็ไม่ได้ลดละความตั้งใจในการฝึกแต่อย่างใด แต่กลับเป็นแรงขับเคลื่อนของโยฮัน รากฐานอันสำคัญที่ทำให้โยฮันก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ

       "ไม่นานนัก ผมก็เริ่มเล่นสเก็ตกับกลุ่มที่เล็กลง สไวน์ยังคงเป็นโค้ชเหมือนเดิม และผมก็ยังได้รับแต่คำวิจารณ์เหมือนเดิม แต่ตอนนี้ผมอยู่ในกลุ่มผู้ถูกเลือกที่ดูมีแววรุ่งมากขึ้น"

       โยฮันเล่นได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โค้ชสไวน์พยายามผลักดันเขาตลอด และแน่นอนว่าไม่เคยหยุดวิจารณ์โยฮันทุกครั้งเมื่อเขาทำพลาด

       "ผมไม่เคยได้รับคำชมเลย สิ่งเดียวที่ผมต้องทำ คือ เล่นให้ดีขึ้นกว่าเดิม"

       เร่งเวลาไปตอนที่โยฮันอายุ 17 ปี คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติเล็งเห็นว่าเขาเป็นนักสเก็ตที่มีอนาคตไกล พวกเขามักมองหาแต่คนที่มีแววรุ่งมากที่สุดในประเทศ และสกีกับสเก็ตก็ถือเป็นกีฬาชั้นนำของประเทศนอร์เวย์

       คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติอยากรับโยฮันมาดูแล พวกเขามองเห็นความพิเศษบางอย่างในตัวนักสเก็ตหนุ่มคนนี้ แต่พวกเขาอยากเปลี่ยนโค้ชใหม่ อยากให้โยฮันอยู่ภายใต้การดูแลของโค้ชของพวกเขาเอง

       นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตวัยหนุ่มของโยฮัน สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของคณะกรรมการที่จะเปลี่ยนโค้ช หลังจากฝึกกับสไวน์มานานนับสิบปี ตอนนี้เขาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของครูฝึกคนใหม่ชื่อ ฮันส์ ทรีฟ คริสเตียนเซน

       "สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะได้ยินแต่คำตำหนิ โค้ชคนใหม่กระตุ้นและให้กำลังใจผม เขาเอ่ยปากชมทุกครั้งที่ผมทำได้ถูกต้อง ปรบมือให้ด้วยซ้ำ"

       "ผมได้เริ่มได้รับคำชมแทนคำตำหนิ กลายเป็นว่าคำชมและการให้กำลังใจคือสิ่งที่ผมต้องการอย่างมาก ผมเหมือนได้เกิดใหม่ ผมเริ่มจะกางปีกเตรียมโผบิน"

       "ตรงนี้แหละที่น่าสนใจ" โยฮันบอก "โค้ชทั้งสองคนมีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากที่สุด พวกเขาสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ที่สุดกับตัวผม ผมมีความสัมพันธ์อันยืนยาวกับทั่งคู่ แต่เป็นในแบบที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คนหนึ่งทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยสุดขีด ส่วนอีกคนทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะไปถึงดวงดาวด้วยการให้กำลังใจและมอบพลังบวก

       ความเป็นเลิศไม่ได้ถูกกระตุ้นจากคำติหรือคำชมเพียงอย่างเดียว มันต้องอาศัยการผสมผสานกันอย่างลงตัว และนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละคน

       เรารู้กันดีว่า ถ้าอยากเลี้ยงลูกให้เติบโตขึ้นมามีสุขภาพดี (ทั้งกายและใจ) พ่อแม่ต้องไม่เพียงรักลูก แต่ยังต้องพูดความจริงกับลูกด้วย ต้องบอกลูกเมื่อเขาทำผิดและผลักดันให้เขาปรับปรุงตัว นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้เขาทำความฝันอันสูงสุดให้เป็นจริงได้

      ในกรณีของโยฮันข้างต้น คำวิจารณ์ของสไวน์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเริ่มเล่นสเก็ตช่วยมอบแรงขับอันทรงพลังให้กับเขา ส่วนคำชมของฮันส์ก็ช่วยพาเขาไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในเวลาต่อมา

      ต่อไปนี้ คือ คำแนะนำ 4 ข้อในการนำไปใช้

      1. ประเมินตัวเองก่อนว่า คุณมีแนวโน้มที่จะเห็นสิ่งไหนมากกว่ากัน ระหว่างสิ่งที่คนอื่นทำถูก กับสิ่งที่คนอื่นทำผิด

      2. สำหรับหลายคน มันอาจเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่จะ "จับผิด" ผู้อื่น แต่ทำไมถึงไม่พยายาม "จับถูก" สิ่งที่ผู้อื่นทำ

      3. ลองคิดถึงสิ่งที่ใครบางคนต้องการจากคุณตอนนี้ เขาต้องการความจริงหรือความรักกันแน่ พวกเขาอยากเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรพลาดใช้หรือไม่? กำลังใจคือยาที่ดีที่สุดตอนนี้ใช่ไหม?

      4. ถ้าคุณกำลังจะเผชิญหน้ากับใครสักคนที่ทำผิดพลาด ก่อนอื่นให้คุณลองทำความเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไรกับมัน คุณอาจเริ่มคำถามทั่วไปอย่าง "คุณมองเรื่องนี้ยังไง" หรือ "เธอคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

Cr. กฎแห่งความสนิท ใช้แค้วันละนิด เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งสองฝ่าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น