วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: ประตูใหญ่ที่ใส่กุญแจ


     เศรษฐีคนหนึ่งชราแล้ว ลูกชายสองคนก็โตเป็นหนุ่ม

     เศรษฐีคิดหนักว่าจะให้ลูกชายคนไหนสืบทอดมรดกของตน วันนี้เขาคิดถึงสมัยยังหนุ่ม ทำงานตั้งตัวจากสองมือเปล่า ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาโดยพลัน เขาหาวิธีที่ดีสำหรับทดสอบลูกชายทั้งสองได้แล้ว

     เขาปิดประตูบ้าน ใส่กุญแจ พาลูกชายทั้งสองเข้าไปในเมืองห่างจากบ้านกว่า 100 กิโลเมตร จากนั้นมอบลูกกุญแจให้พวกเขาคนละพวงใหญ่ กับม้าเร็วคนละตัว สั่งพวกเขากลับไป เปิดประตูบ้าน ดูซิว่า ใครเปิดได้ก่อน ก็ให้คนสืบทอดมรดก

     ม้าวิ่งเร็วมาก พี่น้องทั้งสองกลับถึงบ้านแทบจะพร้อมกัน

     แต่เบื้องหน้าประตูใหญ่ที่ใส่ลูกกุญแจไว้ ทั้งสองกลับต้องเครียดอย่างหนัก

     คนพี่ลองซ้ายลองขวา เครียดเพราะร้อนใจ หาลูกกุญแจดอกที่ตรงกับแม่กุญแจไม่ได้สักที ส่วนคนน้องก็เครียดที่ไม่มีลูกกุญแจ เพราะเมื่อสักครู่ มัวแต่เฆี่ยนม้าให้วิ่งเร็วที่สุด พวงลูกกุญแจหล่นหายที่ไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ยังไม่รู้

     ทั้งสองต่างร้อนใจจนหลั่งเหงื่อโทรม ทันใดนั้น คนน้องก็ตบหัวตัวเองเบาๆสีหน้าคล้ายลิงโลด คิดออกแล้ว เขาไปหยิบก้อนหินมา ทุบแม่กุญแจครู่ใหญ่ แม่กุญแจก็คลายออก เขาจึงเข้าบ้านไปได้โดยง่าย

     น้องชายอาศัยความฉลาด สืบทอดมรดกของบิดาเช่นนี้เอง


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่?

      ความคิดของคนเรานั้น มีผนังทองแดงกำแพงเหล็กอยู่หลายชั้น แต่ละชั้นก็คือกรอบที่แน่นหนา กรอบชนิดนี้ก็คือทัศนคติทั่วไปหรือทัศนคติที่เคยยึดมั่นแต่เดิม จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆด้วยการเปรียบเทียบ โดยอาศัยทัศนคติชนิดต่างๆที่ก่อตัวในระยะยาว คล้ายกับตีเส้นขังตัวเองไว้ ทุกทัศนคติที่เกิดขึ้นก็คือห้องขังไร้รูปสำหรับสร้างทัศนคติใหม่

      เพราะฉะนั้น การสร้างทัศนคตืใหม่ๆจึงเกิดขึ้นพร้อมๆกับการฝ่าทะลวงทัศนคติที่เคยยึดมั่นแต่เดิม ไม่ฝ่าทะลวง ก็ไม่อาจสร้างทัศนคติใหม่ๆ ไม่ทำลายสิ่งเก่าๆ ก็ไม่อาจสร้างสิ่งใหม่ได้แทน


Cr. เจียระไนปัญญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น