วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

จัดการข้อมูลอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพ


     ถึงแม้ว่าสมองมีความสามารถอันน่าทึ่งในการจัดการกับข้อมูลใหม่ๆ แต่สมองก็มีข้อจำกัดเช่นกัน มีเรื่องที่ชาญฉลาดอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจะเรียนรู้ไว้นั่นคือ การแยกแยะระหว่างเรื่องที่คุณต้องเรียนรู้ กับ เรื่องที่คุณควรค้นหา



รู้ว่าคุณต้องเรียนรู้อะไรบ้าง

     ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่ฉับไวอย่างโลกอินเทอร์เน็ตนั้น การพยายามเรียนรู้ทุกอย่างโดยไม่ได้เลือกสรรนับเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ยังมีวิธีการกักเก็บความรู้ในรูปแบบอื่นด้วย นั่นคือ ไม่เก็บความรู้ที่ได้มาไว้ในความจำของคุณเอง แต่ให้มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและทันสมัยซึ่งคุณเรียกว่าได้ง่าย

     ผู้ประกอบอาชีพต่างๆ ที่อยู่ในแวดวงต่างๆ เช่น ทางกฎหมาย หรือ ทางการเงิน ต่างรู้มานานแล้วว่า ประสิทธิภาพของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ ความรู้มากมายที่เขามีอยู่ แต่อยู่ที่ความสามารถในการเลือกซักถาม และรู้ว่าจะค้นหาคำตอบที่เหมาะสมได้ที่ไหน

     การเน้นเรื่อง "ความเหมาะสม" เป็นสิ่งสำคัญ เพราะด้วยความที่มีข้อมูลมากมายจากหลากหลายแหล่งข้อมูล ดังนั้นการคัดเลือกเฉพาะข้อมูลสำคัญจึงถือเป็นการใช้ความฉลาดได้ดียิ่งอย่างหนึ่ง เช่น การท่องอินเทอร์เน็ต 10 นาที หรือ การอ่านหนังสือพิมพ์สัก 1 ชั่วโมง อาจช่วยเสริมให้ข้อมูลมากมายกลายเป็นความจริงมากขึ้น

     การค้นหาข้อมูลและประเมินแหล่งข้อมูลนั้น คุณย่อมจะต้องทำความเข้าใจเนื้อหาบางอย่างนั้น ทำให้ฐานความรู้เดิมของคุณเองเพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น คุณจะต้องใช้ความสามารถในคิดวิเคราะห์ รวมทั้งต้องมีความสามารถหาทางเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการใช้สติปัญญาของคุณอย่างชาญฉลาด


การค้นหาแหล่งข้อมูล

     นักจิตวิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยูรี บรอนเฟนเบรนเนอร์ ได้คิดค้น ระบบการจัดอันดับองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมของบุคคลหนึ่ง ไล่ไปตั้งแต่ระดับบุคคลจนถึงระดับโลก โดยแต่ละองค์ประกอบจะ "จัดเรียง" ต่อกับองค์ประกอบอื่นเหมือนชามที่ซ้อนกัน โครงสร้างแบบนี้นำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการกับแหล่งข้อมูลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือจะเป็นหลายๆเรื่องมาเกี่ยวโยงกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนตร์ จนถึงเรื่องการพัฒนาเทคนิคการทำงาน ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่เรียงกัน ซึ่งคุณอาจนำไปใช้ในงานของคุณได้นั้นแสดงไว้ด้านล่างนี้
  1. ระบบสังคมเล็ก (ระดับบุคคล)
  2. ระบบสังคมร่วม (ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมเล็ก 2 กลุ่ม)
  3. ระบบสังคมภายนอก (อิทธิพลจากภายนอกโดยตรง)
  4. สภาพสังคมสิ่งแวดล้อมที่กว้างออกไป
    (สภาพแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่กว้างขึ้น)
  5. ระบบเวลา (ระบบภายนอกที่ต่างขยายและพัฒนาขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป)

ตัวอย่างแหล่งข้อมูล
  • สโมสรท้องถิ่น หรือ กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
    ทั้งจากตัวเองหรือจากกลุ่มคนที่อยู่ในเครือข่าย
  • ชั้นฝึกอบรมเพิ่มเติมหรือพัฒนาตนเองทั้งจาก
    องค์กรท้องถิ่น และ องค์กรบริหารส่วนภูมิภาคของรัฐบาล
  • เว็บไซต์และวารสารของผู้ประกอบอาชีพและการค้า
  • สื่อกระจายเสียงและสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วไป รวมถึงเว็บสารานุกรม
  • แหล่งข้อมูลของรัฐบาลและของระดับโลก เช่น องค์การสหประชาชาติ

การพัฒนารากฐานความรู้

     แม้การจัดโครงสร้างของแหล่งข้อมูลนั้น ต้องใช้เวลาในการคิดวิเคราะห์ แต่เรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้ถึงการใช้เวลาและพลังสมองอย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นที่ 1
  • ประเมินแหล่งข้อมูลที่ดีและจัดแบ่งออกเป็นหมวดหมู่
  • ตั้งเป้าหมายว่าจะรวมแหล่งข้อมูลจากทุกระดับ (5 ระดับที่กล่าวไปข้างต้น)
    มองหาข้อมูลที่หลากหลาย เช่น ดูหนังสือพิมพ์ที่คุณไม่ได้อ่านปกติ 
    หรือ เปิดฟังสถานีวิทยุที่คุณไม่ได้ฟังเป็นปกติ
ขั้นที่ 2
  • เข้าถึงแหล่งข้อมูลที่มีการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
    (เช่น สมัครเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ วารสาร สโมสร หรือ สมาคม)
  • เพิ่มเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์ลงไปใน รายการเว็บโปรด (ฺBookmark หรือ Favorite) ของคุณ
ขั้นที่ 3
  • คอยมองหาแหล่งข้อมูลใหม่ๆมาเพิ่ม
  • จัดหาเวลาในการตรวจและรวบรวมข้อมูลใหม่ๆ

"ความรู้มีสองประเภท คือ ประเภทที่เรารู้ด้วยตนเอง 
กับ ประเภทที่ตัวเรารู้ว่าจะไปค้นหาข้อมูลได้ที่ไหน" 
แซมมวล จอห์นสัน (1709-1784)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น