วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: คนใจกว้าง กับ เงิน 1 ดอลล่าร์

 

     หลายปีก่อน นักเรียนคนหนึ่งเพิ่งก้าวเท้าออกจากประตูโรงเรียนมัธยม พกพาความหลงใหลในเสียงดนตรี และความฝันที่จะเป็นนักจัดรายการเพลง มุ่งหน้ามาสานฝันยังเมืองใหญ่อันไม่คุ้นเคยตามลำพัง

     เวลานั้นอยู่ในช่วงฤดูหนาว ลมเหนืออันหนาวเหน็บพัดกระหน่ำ หิมะปลิวว่อน เขาตระเวนหางานทำไปทั่วทุกหนแห่ง

     ทว่า ก็ถูกปฏิเสธมาทุกครั้ง จนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เขาก็ใช้เงินที่มีติดตัวไปเกือบหมด ยังดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งแอบนำอาหารหมดอายุ ที่เตรียมจะโยนทิ้งมาให้เขา เพราะได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน เขาจึงยืนหยัดต่อไปได้

     การหางานในเมืองที่ไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ในที่สุดเขาก็เหลือเงินอยู่ในกระเป๋าแค่เพียงหนึ่งดอลลาร์เท่านั้น ธนบัตรใบนี้มีคุณค่าและมีความหมายต่อเขามาก ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมนำไปใช้อย่างเด็ดขาด เพราะธนบัตรใบนี้ มีลายเซ็นของนักร้องที่เขาชื่นชอบอยู่หลายคน เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความใฝ่ฝันของเขาเลยทีเดียว

     เช้าวันนั้น เขาซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพหมดหวังและลำบาก เดินผ่านลานจอดรถแห่งหนึ่ง สองวันมานี้เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในรถเก่าๆ ผุพังที่จอดอยู่ทุกครั้งที่เดินผ่านมา ชายคนนั้นนั่งอยู่ในรถทั้งวัน และทุกครั้งที่เห็นเขาเดินผ่าน ก็จะโบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร

     เขานึกสงสัยในใจว่า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่มีหิมะและลมแรงถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดชายคนนั้น จึงมาซุกตัวอยู่ในรถไม่กลับบ้าน วันที่สามเขาก็ห้ามความอยากรู้ไม่ไหว เดินเข้าไปใกล้รถคันนั้น พอชายในรถเห็นเขาก็หมุนกระจกลงสนทนาพาทีด้วย

     หลังจากคุยกันแล้วจึงได้รู้ว่า ชายผู้นั้นได้รับจดหมายเรียกตัวจากบริษัทแห่งหนึ่ง ให้มาสัมภาษณ์งาน เขาเดินทางมาไกลเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ แต่เนื่องจากมาถึงเร็วไปสามวัน และไม่อาจเข้าสัมภาษณ์ได้ทันที เงินที่นำมาติดตัวก็ใช้หมดแล้ว จึงได้แต่หลบอยู่ในรถไม่กินไม่ดื่มอะไร

     สนทนากันได้ครู่หนึ่ง ชายผู้นั้นก็เอ่ยปากด้วยอาการหน้าแดง "เอ่อ...ผมขอยืมเงินซื้ออาหารสักหนึ่งดอลลาร์ได้ไหม ไว้รับเงินเดือนแล้ว ผมจะคืนให้คุณทันที"

     เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็รู้สึกลำบากใจอย่างมาก เพราะเขาเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว เขาเล่าถึงสภาพอันลำบากยากแค้นของตนให้ชายผู้นั้นฟัง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป เพราะไม่อาจทนเห็นท่าทีผิดหวังของชายผู้นั้นได้

     ทว่า เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า ในกระเป๋าของตนยังมีธนบัตรหนึ่งดอลลาร์ที่เก็บรักษาไว้ สมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นของเขา

     เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจหยิบเงินนั้นออกมา หมุนตัวเดินกลับไปยื่นให้ชายผู้นั้นทางหน้าต่างรถ และพยายามบอกตัวเองไม่ให้หวนกลับไปคิดถึงธนบัตรอันล้ำค่าใบนั้นอีก

     หลังจากนั้นเพียงสามวัน โชคของเขาก็มาถึง สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง โทรศัพท์มาเรียกตัวเขาไปทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดรายการ ได้ค่าตอบแทนปีละหนึ่งร้อยดอลลาร์

     วันแรกที่เข้าทำงาน เขาก็ได้พบชายคนที่อยู่ในรถเก่าๆ คันนั้น คนผู้นี้คือผู้ควบคุมรายการที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวานนี้


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่

      นับแต่วินาทีที่เขามอบเงินหนึ่งดอลลาร์ให้ผู้อื่นไป กลไกของโลกใบนี้ก็เปลี่ยนแปลง และความโชคดีที่เดิมยังเวียนมาไม่ถึงเขา ก็มาถึงเร็วขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย

      ท่านเคยได้ยินคำว่า 'กฎของจักรวาลหรือไม่ เมื่อท่านได้รับอะไรบางอย่างมา ก็ต้องให้อะไรบางอย่างไป โลกนี้จึงจะสมดุล

      ถ้าเอาแต่รับไม่ยอมให้ ชีวิตของท่านจะขาดความสมดุล และความโชคดีก็จะหยุดชะงักไม่หมุนกลับมาหาท่านอีก ด้วยเหตุผลข้อนี้เอง ความโชคดีจึงมักเกิดขึ้นกับคนที่รู้จักแบ่งปัน

      ในการดำเนินชีวิต ถ้าเราหมั่นเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ให้คิดถึงประโยชน์ส่วนตนน้อยลงสักนิด ชีวิตของเราย่อมมีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

      "ถ้าอยากให้ผู้อื่นช่วยเหลือในยามตกทุกข์ได้ยาก ยามปกติก็ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจกว้าง" -- สแตนลีย์ เซดี

Via โลกทรรศนะ
Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น -- กวน จยา เวย เขียน, ทิภาพร เยี่ยมวัฒนา แปล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น