วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คน VS คอมพิวเตอร์


     บทความนี้ผมสรุปเนื้อหาจากบทหนึ่งชื่อ คน vs คอมพิวเตอร์ จากหนังสือ "Zero to One" หรือ "จาก 0 เป็น 1" ที่เขียนโดย Peter Thiel ผู้ประกอบการและนักลงทุนซึ่งก่อตั้งบริษัท PayPal และ Palantir เรื่อง "คน vs คอมพิวเตอร์" (ฉบับแปลเป็นภาษาไทยเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์ WE LEARN)

     วัตถุประสงค์ในการสรุปบทดังกล่าว เนื่องจากผมมองว่าเนื้อหาดังกล่าวเป็นข้อคิดและเป็นสิ่งที่ควรรู้โดยเฉพาะผู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) หรือ Startups ในการที่จะตระหนักถึงข้อดีข้อเสียระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ ว่ามีจุดแตกต่างหรือส่วนเสริมอย่างไร

---

     ทุกวันนี้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากพอที่จะแซงหน้ามนุษย์โดยเฉพาะกิจกรรมที่คุณคิดว่ามีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ เช่น ในปี 1997 เครื่องดีปบลูของ IBM เอาชนะแกร์รี คาสปารอฟ แชมป์หมากรุกโลกได้

     ทุกคนคาดหวังว่าคอมพิวเตอร์จะทำสิ่งต่างๆได้มากขึ้นในอนาคต ถึงขั้นมีคนสงสัยว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะยังเหลือสิ่งใดให้มนุษย์ทำอีกหรือเปล่า ฝ่ายต่อต้านเทคโนโลยีกังวลว่าเครื่องจักรจะมาแทนที่มนุษย์ถึงขนาดอยากให้เลิกสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีใครตอบคำถามดังกล่าวได้

     ในการแข่งขันระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ (แทนที่จะเป็นระหว่างคนกับคน) คอมพิวเตอร์แตกต่างจากมนุษย์มากกว่าที่มนุษย์สองคนแตกต่างกัน

      คนและเครื่องจักรมีความถนัดพื้นฐานต่างกัน มนุษย์มีความตั้งใจ สามารถวางแผนตัดสินใจในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ แต่ไม่ถนัดในเรื่องการทำความเข้าใจข้อมูลปริมาณมาก ส่วนคอมพิวเตอร์นั้นประมวลข้อมูลได้เป็นเลิศ แต่มีปัญหากับการตัดสินใจขั้นพื้นฐานซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

      หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คนมีความสามารถ Judgement น้อยกว่าคอมพิวเตอร์เมื่อข้อมูลที่วิเคราะห์มีปริมาณมหาศาล ในขณะเดียวกัน มนุษย์มีความสามารถ Decision ดีกว่าคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่การ Decision แบบง่ายๆกันเลยทีเดียว (Judgement vs Decision)

      ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างคนกับเครื่องจักร คือ ประโยชน์ที่คุณได้จากการใช้คอมพิวเตอร์นั้นมากกว่าประโยชน์ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนกับคนด้วยกัน คุณแทบไม่ต้องแลกเปลี่ยนอะไรกับคอมพิวเตอร์เลย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญว่า คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คู่แข่ง

      สิ่งเดียวที่คอมพิวเตอร์ต้องการ คือ กระแสไฟฟ้า และไม่ฉลาดพอที่จะเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งต่างจากคนที่มีความต้องการที่หลากหลายและระบุปริมาณที่แน่นอนไม่ได้ 

      เมื่อคุณออกแบบเทคโนโลยีใหม่เพื่อช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ผลประโยชน์ทั้งหมดจะตกอยู่กับคุณ คุณจะได้คู่หูที่มีความสามารถเฉพาะทางสูงทะลุเพดาน คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆไม่ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่มาเป็นตัวช่วยต่างหาก

      ดังนั้นการทำงานร่วมกันระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ไม่ได้เป็นเพียง Trend ที่โลกกำลังหมุนไป แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างธุรกิจได้ด้วย (รายละเอียดเพิ่มเติมกล่าวไว้อยู่ในหนังสือ ผมขอละไว้)

      ถึงแม้ว่า Software ที่ทันสมัยล้ำยุค ทำให้การค้นหาผู้ก่อการร้าย ตรวจจับโจรที่ทำธุรกรรมการเงินที่ฉ้อโกงบัตรเครดิต เป็นเรื่องที่ง่ายดาย เป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ มนุษย์ที่เป็นนักวิเคราะห์ อัยการ นักวิทยาศาสตร์ และนักการเงิน ถ้าไม่ได้คนเหล่านี้ Software ก็ไร้ประโยชน์ เพราะคอมพิวเตอร์ยังไม่สามารถผสมผสานทุกสิ่งเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่แค่ช่วยให้มนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น

      ทำไมผู้คนมากมายมองไม่เห็นว่าคอมพิวเตอร์สามารถเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังมากน้อยแค่ไหน?

      วิศวกรซอฟต์แวร์มักเลือกพัฒนาสิ่งที่จะมาทำงานแทนมนุษย์ เพราะพวกเขาถูกสอนมาให้คิดแบบนี้

      นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือ Computer Scientist มีหน้าที่ลดทอนความสามารถของมนุษย์ให้อยู่ในรูปของงานที่สามารถทยอยเปลี่ยนไปให้คอมพิวเตอร์ทำแทนได้ อย่างสาขาวิชาใหม่ของ Computer science อย่าง "Machine Learning" บรรดาผู้สนับสนุนเชื่อว่า คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้งานได้เกือบทุกประเภทถ้าคุณป้อนข้อมูลเข้าไปมากพอ

      ใครที่เคยใช้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทาง Amazon คุณจะพบว่า Machine Learning ทำงานได้ดีเยี่ยมมากแค่ไหน บริษัท Amazon ใช้ Algorithm เพื่อแนะนำสินค้าที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้ โดยอิงจากประวัติการซื้อสินค้าครั้งก่อนๆของพวกลูกค้า ยิ่งป้อนข้อมูลมากเท่าใด ผู้ใช้ก็จะยิ่งให้คำแนะนำที่ดีขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะ Software รู้ภาษามนุษย์ แต่เพราะมันพบแบบแผนจากการวิเคราะห์ข้อความจำนวนมหาศาลด้วยวิธีการทางสถิติ

      ศัพท์อีกคำที่คุณควรรู้ ที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามแทนที่มนุษย์ด้วยเครื่องจักรคือคำว่า "Big Data" ทุกวันนี้บริษัทต่างกระหายอยากได้ข้อมูลอย่างไม่รู้จักพอ ด้วยความเชื่อที่ผิดว่า ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าใดก็ยิ่งสร้างคุณค่าได้มากเท่านั้น แต่ข้อมูลที่ได้มักมาในรูปแบบข้อมูลดิบ (Raw Data) 

      คอมพิวเตอร์อาจพบแบบแผนที่เกินความสามารถมนุษย์ได้จริง แต่มันไม่รู้วิธีเปรียบเทียบแบบแผนจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและไม่รู้วิธีตีความพฤติกรรมที่ซับซ้อน มุมมองที่ลึกซึ้งที่นำไปใช้ได้จริงจะมาจากการวิเคราะห์ของมนุษย์เท่านั้น 

      ปัจจุบันระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence (A.I) ที่แข็งแกร่งยังเป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์ แต่ในอนาคต ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่แข็งแกร่ง น่าจะเกิดขึ้นได้จริงโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งเป็นน่าจะเป็นช่วงปี 2200 ซึ่งยังระบุได้ไม่แน่ชัดว่ามันจะช่วยเหลือหรือทำลายมนุษยชาติ หากการสร้างคอมพิวเตอร์ที่ฉลาดมนุษย์อาจเปิดช่องให้หันมาแก้แค้นคุณ

Cr. "Zero to One" หรือ "จาก 0 เป็น 1"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น