วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความเศร้าบนความสุขของบางคน


     เรื่องราวที่คุณผู้อ่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมได้หยิบยกตอนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "์Nice to Meet Me in Brighton" เขียนโดยน้องเพลง ต้องตา จิตดี สาวน้อยนักร้อง นักดนตรีวง Plastic Plastic

     เธอตัดสินใจเดินทางไปไกลถึงเมืองไบรตั้น (ฺBrighton) ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา 4 เดือน เพื่อเรียนภาษาและใช้เวลาหาประสบการณ์ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก และเนื่องด้วยความผูกพันที่น้องเพลงมีต่อผู้คนมากมายในเมืองไบรตั้น เธอจึงตัดสินใจบันทึกความทรงจำผ่านไดอารี่ และท้ายที่สุดก็ได้ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่เป็นหนังสือ

     มันไม่ใช่หนังสือแนะนำท่องเที่ยวซะทีเดียว แต่กลับเป็นเรื่องราวที่รวบรวมความทรงจำ ความสุข ความประทับใจ และข้อคิดต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่เรียนใน Brighton สอดแทรกสถานที่น่าเที่ยวบ้างเป็นประปราย อย่างเรื่องที่จะอ่านดังต่อไปนี้ (ส่วนหนึ่งของหนังสือ)

---
ความเศร้าบนความสุขของบางคน

บ่ายวันอังคาร ณ ห้องเรียน 109

     ฉันกับเพื่อนในห้องเม้าท์กันเสียงดังมาก ก่อนที่โจจะเปิดประตูเข้ามา และบรรยากาศในห้องก็เปลี่ยนแปลงไป เงียบเหมือนห้องโล่งๆ ที่ไม่มีใครอยู่สักคน

     "โจ" คือ ครูประจำชั้นประจำวันอังคารกับวันพฤหัสที่มีฉายาว่า "Old Joe" เพราะถ้าเทียบกับครูอื่นๆ แล้ว โจน่าจะอายุมากสุด ทุกครั้งที่เธอเข้ามาสอน เพื่อนในห้องจะต้องหัวเราะคิกคัก ไม่ก็ซุบซิบอะไรกันสักอย่าง ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจว่าตลกอะไรกันนักกันหนา แต่พอได้เรียนไปหลายครั้งๆ ก็เริ่มเข้าใจ

     เคยอ่านหนังสือที่บอกว่า "ในคนสูงอายุ สมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่เป็นเสมือนหน่วยความจำจะเริ่มเสื่อม" และนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เพื่อนในห้องขำกัน บางทีโจไม่ใช่แค่ลืม แต่ยังชอบคิดนานเกินไปจนเพื่อนบางคนถึงขั้นหงุดหงิด และวันนี้เธอก็ทำให้เพื่อนชาวชาวตุรกีคนหนึ่งต้องขึ้นเสียงหลังจากยกมือถาม

     "Excuse me, what does 'thrilled to bits' mean? เธอถามศัพท์ที่อยู่ในเอกสาร

      "Let me think... Umm.. Actually, you can ask your friend beside you first, your friend knows." เดี๋ยวๆ ฉันนี่แหละ คือ เพื่อนที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างๆ แต่หน้าอย่างฉันเนี่ยจะรู้...

      ขณะที่โจกำลังคิดหาวิธีอธิบายอย่างช้าๆ สาวตุรกีก็สวนกลับ

      "Why don't you explain?! This is not the first time you did this! Aren't you a teacher?!"

      เอาแล้วไง... บรรยากาศตึงเครียดได้ปกคลุมไปทั่วห้อง อืมครืมยิ่งกว่าเมฆทุกก้อนในอังกฤษมารวมกัน ทั้งโจและเพื่อนเถียงกันไปมาจนหมดชั่วโมงก็ยังไม่ได้หาคำตอบ

      หลังเลิกเรียนเพื่อนๆ ได้ประชุมกันจริงจังว่าจะเอายังไงดี ทุกคนเห็นด้วยเหมือนกันหมดว่า ควรจะลงไปขอเจ้าหน้าที่เปลี่ยนครูประจำชั้น เพราะทนโจไม่ไหวแล้ว เรียนกับครูแบบนี้คงไม่ได้อะไรขึ้นมา พร้อมทั้งช่วยกันเขียนข้อเสียของโจประมาณสิบกว่าข้อลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ไปเป็นข้อมูล

      ฉันนั่งมองตาปริบๆ เพราะไม่รู้อะไรเลย เห็นเขาลงไปฟ้องกัน ก็ลงไปด้วย เห็นเขาไม่ชอบโจกัน ก็ไม่ชอบด้วยก็ได้ ที่ทำไปไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะกลัวเข้ากับเพื่อนไม่ได้มากกว่า

      ใจหนึ่งก็เข้าใจเพื่อนต่างชาติ ทุกคนคงกลัวว่าสิ่งที่ได้มาจะไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป ฉันก็เองอยากได้ความรู้เยอะๆ เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังติดนิสัยแบบไทยๆ อยู่ เป็นโรคแพ้คนแก่ สงสารคนแก่ โจอายุไม่น้อยแล้วนัะ ถึงระบบปฏิบัติการของสมองจะไม่ไวเท่าครูคนอื่นแต่อย่างน้อยวิธีการสอนสไตล์ใจเย็นเป็นเอกลักษณ์ มันผิดตรงไหน จะให้มาสอนแบบครูสาววัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็คงไม่ใช่

     ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนครูประจำชั้นให้ แต่สิ่งที่เศร้ากว่านั้นคือ "โจโดนไล่ออก" ฉันตกใจแน่นิ่งไปหลายวินาทีในขณะที่เพื่อนดูพอใจ เขาบอกว่ามีนักเรียนหลายกลุ่มแล้วที่มาบ่นว่าโจไม่ดีอย่างโน้นไม่ดีอย่างนี้ โจเลยไม่สมควรจะอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่คิดเลยว่าเหตุจากความอายุมากจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงได้ขนาดนี้

บ่ายวันพฤหัส ณ ห้องเรียน 109

     ทุกคนรู้ว่าวันนี้เป็นการสอนครั้งสุดท้ายของโจ ก็เลยพร้อมใจกันโดดเรียน นอนอืดอยู่บ้านบ้าง นั่งชิลที่ชายหาดบ้าง ไปลอนดอนบ้าง เหลือกันอยู่ในห้องไม่ถึงห้าคน พอโจเดินเข้ามาก็อึ้งไปสักพักก่อนที่จะกลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิม และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเพื่อนที่หายไปสักคำ

     วันนี้โจไม่ได้สอนอะไรมาก รู้เลยว่าเพราะอะไร เธอเปิดหนังสั้นให้ดู แล้วให้แต่ละคนออกมาพูดความเห็นเกี่ยวกับหนังที่ดูไปนิดหน่อย เป็นชั่วโมงเรียนที่สบายที่สุดตั้งแต่เคยเรียนมา และเธอก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาซึ่งทำให้เพื่อนทั้งห้องชะงัก

     "Today is my last day. I'm gonna change my job."

     "..............."

     Hey. I'm not killing you, just letting you know."

      "..............." ฉันตัดสินใจยกมือท่ามกลางความเงียบ

      "What is your new job?"

      "Teacher for disabled children."

      "Hope you enjoy it." "Hope you have fun." "We'll miss you..." เพื่อนๆ แย่งกันพูด ฉันดีใจมากที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนถึงสามคนที่คิดเหมือนฉัน

      โจนิ่งและไม่ตอบอะไรเลย แต่ดูจากแววตาใสๆ แล้วฉันว่าเธอดีใจอยู่ลึกๆ

      "I'm old enough to understand everything. Thank you for being so kind me. Hope to see you guys again someday, goodbye..."

      ปกติฉันเคยพูดและได้ยินคำว่า "Goodbye" แบบส่งๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่นานก็ต้องเจอกันอีก แต่ครั้งนี้มันใจหายอย่างบอกไม่ถูก เพราะฉันรู้สึกว่ามันคือการ "Bye" ที่คงจะไม่มีคำว่า "Hi" อีกต่อไป โจยิ้มแล้วโบกมือให้ทุกคนก่อนจะเก็บของแล้วเดินออกจากห้องช้าๆ ทุกคนมองเธอจนถึงก้าวสุดท้าย...

      ถ้าโจไม่รักอาชีพครูจริงๆ ก็คงไปทำอย่างอื่นแล้ว อายุขนาดนี้ทำงานอยูแบบบ้านสบายๆ คงง่ายกว่าเยอะ แต่โจยังยืนยันที่จะทำอาชีพนี้แถมยังเลือกที่จะสอนเด็กพิการอีก... ฉันทำอะไรไม่ได้ แต่ขอให้โจสนุกกับที่ทำงานใหม่ และหวังเล็กๆ ว่าสักวันเราคงได้เจอกันในไบรตั้นอีก

     "็Hey. Tongta! Your notebook... Do you remember something...? ดาฮีเพื่อนชาวเกาหลี ชี้มาที่สมุดฉัน

     ฉันตกใจมากที่เห็นว่าบนปกสมุดโน้ตของฉันมีข้อความว่า "THRILLED TO BITS to go to the beach!" พออ่านแล้วก็เดาได้ทันทีเลย มันแปลว่า "ตื่นเต้นดีใจที่ได้ไปทะเล" ซึ่งเป็นประโยคที่เพื่อนตุรกีและโจเถียงกันเมื่อวันก่อน คำตอบไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลแต่อยู่แค่นี้เอง และ วันนั้นโจคงไม่ได้ลืมหรือตอบไม่ได้ แต่เธอคงอยากให้ฉันมีส่วนร่วมด้วยมากกว่า...

เดี๋ยวนะ นี่ฉันเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดหรือเปล่าเนี่ย...
ถ้าใช่ก็แย่แล้ว

---

บางครั้งสิ่งที่คุณเห็นสิ่งที่คิด แท้จริงแล้วอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยก็ว่าได้
ถ้าคุณไม่ได้ยืนในจุดที่เขาอยู่ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใคร เพราะคุณเห็นอาจแค่เสี้ยวๆหนึ่งของคนนั้น

แล้วคุณล่ะ ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้ยังไงบ้าง?

Cr. Nice To meet me, ต้องตา จิตดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น