วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: เด็กชายในรถไฟใต้ดิน


     ชารอนกับเพื่อนกำลังรอรถไฟใต้ดิน เนื่องจากฝนตกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน จึงไม่ค่อยมีใครออกนอกบ้าน ด้วยเหตุนี้ สถานีรถไฟใต้ดินจึงค่อนข้างเงียบเหงา ครู่หนึ่งขบวนรถไฟที่พวกเธอต้องการจะโดยสารก็เข้าเทียบชานชาลา ทั้งสองคนเดินเข้าไปในตู้โดยสารด้วยกัน


     ในตู้โดยสารก็เป็นเช่นเดียวกับที่สถานี ผู้คนบางตาอย่างยิ่ง ในขณะที่ชารอนกำลังนั่งเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับเต็มที เธอก็เห็นพ่อลูกคู่หนึ่งเดินเข้าในตู้โดยสาร ผู้เป็นพ่อสวมแว่นตาดำ ลูกชายเป็นคนจูงเดิน ท่าทางคงจะเป็นคนตาบอด ลูกชายอายุยังน้อย แต่กลับต้องเป็นผู้นำทางให้ผู้เป็นพ่อ ทั้งสองค่อยๆ เดินมาทีละก้าวอย่างช้าๆ จนถึงบริเวณกลางช่องทางเดินจึงหยุด


     ชารอนเห็นสองพ่อลูกยืนนิ่งไม่ขยับก็ให้รู้สึกแปลกใจ เพราะในรถมีที่นั่งว่างอยู่มากมาย เหตุใดจึงต้องยืนด้วยเล่า?

     รถไฟยังคงเคลื่อนที่ต่อไป เด็กชายเอ่ยขึ้นว่า "สวัสดีครับคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทุกท่าน ผมชื่อโจอี้ ผมจะร้องเพลงให้ทุกท่านฟังสักสองสามเพลงครับ"

     ในเวลานี้ผู้เป็นพ่อปลดหีบเพลงที่แบกอยู่บนบ่าลงมา และเริ่มบรรเลงคลอไปกับเสียงร้องอันกังวานใสของลูกชาย

     ชารอนเข้าใจแล้ว ที่แท้พ่อลูกคู่นี้ก็คือวณิพกเร่ขายเสียงเพลง ทว่า ไม่ว่าอย่างไรคนในตู้โดยสารก็ดูจะไม่สนใจ พากันหลับใหลไปหมด ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแม้แต่น้อย

     หลังจากร้องจบไปหลายเพลง เด็กชายผู้นั้นก็เดินมาที่หัวรถด้านหนึ่ง เริ่มขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารทีละคน

     ทว่า ในมือของเด็กชายหาได้มีอุปกรณ์ประเภทหมวกหรืออย่างอื่นไม่ อีกทั้งไม่ได้แบมือไปตรงหน้าผู้โดยสาร เขาเพียงแต่เดินมาหยุดตรงหน้า แล้วเรียกอย่างนอบน้อมว่า "คุณผู้ชายครับ...คุณผู้หญิงครับ" จากนั้นก็ยืนคอยเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง

     ชารอนเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้เงิน เนื่องจากถูกหลอกมาหลายครั้งเต็มที ไม่ว่าเป็นใครก็คงอดเอือมระอาไม่ได้ ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะให้เงิน ทุกคนต่างทำเป็นไม่มอง บ้างก็หันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง

     ไม่ช้านานเด็กชายก็เดินมาใกล้จะถึงชารอน เธอพลันรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงคนร้องเอะอะโวยวายขึ้น

     "อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ไม่รู้ยังไงนะขอทานในลอนดอนถึงได้มากมายขนาดนี้ กระทั่งในรถไฟใต้ดินก็ยังมี..."

     คราวนี้สายตาทุกคู่ต่างพุ่งไปยังสตรีวัยกลางคนที่ร้องเสียงแหลมผู้นี้เป็นตาเดียว เธอนั่งอยู่ข้างหน้าถัดจากชารอนไปเพียงแถวเดียว

     เด็กคนนั้นดูสงบเยือกเย็นมาก หนูน้อยชี้แจงอย่างชัดถ้อยชัดคำ "คุณผู้หญิงครับ ผมไม่ใช่ขอทาน ผมเป็นคนขายเสียงเพลง"

     วินาทีนั้นบรรยากาศภายในห้องโดยสารก็เงียบกริบ ราวกับทุกอย่างเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง หลังจากนั้นสายตาเย็นชาทุกคู่ก็พลันเปลี่ยนเป็นสายตาอันอบอุ่น มีเสียงคนปรบมือนำขึ้นมา จากนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นกึกก้อง

     จากนั้นชารอนก็ลุกขึ้นวางธนบัตรใบหนึ่ง ลงบนมือของหนูน้อยอย่างสุภาพ โดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการให้ทาน


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่?

     บางครั้ง การที่สถานการณ์ในชีวิตเลวร้ายลง ก็เป็นสิ่งที่เราจนปัญญาจะควบคุมได้ ถ้าเลือกได้ คงไม่มีใครอยากประสบความล้มเหลว ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตอยู่ยากลำบาก แต่ในเมื่อชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปเช่นนี้แล้ว สายตาคนรอบข้างที่มองเรา ก็ย่อมเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา คุณต้องเชื่อมั่นว่า ตัวเองยอดเยี่ยมที่สุด

     สักวันหนึ่ง ความสุขและความเบิกบานใจ จะต้องหวนกลับมาในชีวิตของเราอีกครั้ง อย่าปล่อยให้สายตาคนอื่น ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคุณ นั่นเป็นสิ่งที่หาประโยชน์อะไรไม่ได้และไม่ถูกต้อง

     ทุกคนต่างชอบปิดฉลากลงบนตัวผู้อื่น ขณะเดียวกันก็ถูกผู้อื่นปิดฉลากบนตัวเราอยู่เสมอ ฉลากของบางคนบรรยายสรรพคุณไปในทางที่ดี แต่บางคนกลับทำให้ผู้ถูกปิดมีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ เพราะอะไรต้องยอมให้ฉลากพวกนี้ มีอิทธิพลต่อชีวิตและจิตใจของเราด้วย

     พวกเขาอาจปิดฉลากได้ แต่คุณจะไม่ยอมรับก็ได้ ไม่ต้องไปสนใจว่าผู้อื่นจะวิพากษ์วิจารณ์คุณว่าอย่างไร ขอเพียงคุณรู้ว่าคุณคือใคร มุมานะบากบั่นเดินไปข้างหน้า และกระตือรือร้นที่จะมุ่งไปอย่างเข้มแข็ง สักวันย่อมเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้อย่างแน่นอน และผู้คนเหล่านั้นจะฉีกฉลากในด้านลบออกจากตัวคุณด้วยมือของพวกเขาเอง

ถ้าสูญเสียทรัพย์สมบัติ ท่านสูญเสียเพียงเล็กน้อย 
ถ้าสูญเสียเกียรติยศชื่อเสียง ท่านสูญเสียมากมาย 
ถ้าสูญเสียความกล้าหาญ ท่านจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

Cr. สุขได้ถ้าวางเป็น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น