วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ข้อคิดจากเรื่องเล่า: สีอะไรก็สวยทั้งนั้น


         "พฤติกรรมอันสูงส่งที่สุดของคนเรา นอกจากการเผยแพร่สัจธรรมแล้วก็คือ การละเลิกการกระทำผิดอย่างเปิดเผย" --ฟรานซ์ ลิสต์ 
       เมื่อไม่นานมานี้ บารัก โอบามา ผู้มีเชื้อสายของชนผิวดำ ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า สีผิวและเผ่าพันธุ์ไม่อาจแบ่งแยกชนชั้น และจิตใจคนได้อีกต่อไปแล้ว
       ในโลกนี้มีความขัดแย้งไม่รู้เท่าไรที่เกิดขึ้น เพราะเราไม่อาจปล่อยวางทัศนะอันมีเงื่อนไขและอคติต่อสรรพสิ่ง ซึ่งดำรงอยู่ตามสภาพความเป็นจริงเหล่านั้นลงได้ และทัศนะเหล่านั้นกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ภายในใจที่กำจัดออกไปได้ยาก
       การดำรงอยู่ของสิ่งกีดขวางเหล่านี้ สิ่งผลให้บางสิ่งถูกปิดกั้น และสิ่งที่ถูกปิดกั้นนั้นหาใช่สิ่งอื่นใดไม่ หากแต่คือสิทธิในการได้รับความสุขของเรานั่นเอง!



       หลี่เจี๋ยมาถึงสถานีรถไฟแต่เช้าตรู่ เขาต้องเดินทางไปบอสตันด้วยกิจธุระบางประการ ที่สถานีรถไฟ หลี่เจี๋ยพบชายชราผมสีดอกเลาทั้งศีรษะ ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท ยืนอยู่คนเดียวที่ชานชาลา บุคลิกท่าทางของชายชราผู้นี้ ดูจะมีความหยิ่งยโสที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แผ่กระจายออกมารอบตัวให้สัมผัสได้ ทว่า ก็ยังมองออกว่าเขาโดดเดี่ยวอ้างว้างไม่น้อย
       หลี่เจี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา จากการพูดคุยทำให้รู้ว่า ชายชรากำลังจะไปบอสตัน หลี่เจี๋ยจึงเสนอตัวว่า ยินดีจะช่วยพาเขาขึ้นรถไฟไปด้วยกัน ชายชรากล่าวขอบคุณ และบอกว่า ตนก็ยินดีจะขึ้นรถไฟไปพร้อมกับหลี่เจี๋ย เมื่อรถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลา การสนทนาก็เริ่มขึ้น...
       ชายชราเล่าเรื่องราวของตนเอง เขาบอกกับหลี่เจี๋ยว่า เขาเกิดทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งทางชนชาติพอดี ในฐานะคนภาคใต้ เขาถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กให้มีทัศนคติว่า คนผิวดำฐานะต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว คนรับใช้บ้านเขาก็เป็นคนผิวดำ สมัยอยู่ภาคใต้ เขาไม่เคยรับประทานอาหารร่วมกับคนผิวดำ และไม่เคยเรียนหนังสือร่วมกับคนผิวดำ
       ต่อมาเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ ครั้งหนึ่งเพื่อนนักศึกษามอบหมายให้เขา เป็นผู้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์นอกสถานที่ เขาถึงกับเขียนหมายเหตุไว้ท้ายบัตรเชิญว่า 'ขอสงวนไว้ซึ่งสิทธิ์ในการปฏิเสธคนบางกลุ่มเข้าร่วมงาน'
       หากอยู่ทางภาคใต้ คำพูดประโยคนี้จะหมายความว่า 'เราไม่ต้อนรับคนผิวดำ' พอเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทั้งชั้นปีต่างฮือฮาพากันวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา คณบดีเรียกเขาไปตำหนิขนานใหญ่
       ไม่ว่าเขาจะรังเกียจคนผิวดำเพียงใด แต่จะให้ไม่พบเจอคนผิวดำในการดำเนินชีวิตประจำวันเลยนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ บางครั้งบางคราวเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เมื่อพนักงานขายของในร้านเป็นคนผิวดำ เวลาจ่ายเงินเขาจะวางเงินไว้บนตู้สินค้า ให้คนผิวดำมาหยิบเอาเอง เขาจะไม่ยอมสัมผัสมือคนผิวดำเป็นอันขาด
       เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ชายชราก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายว่าเขาหดหู่ใจไม่น้อย ในฐานะนักข่าว หลี่เจี๋ยสนใจใคร่รู้ในเรื่องราวของชายชราผู้นี้มาตั้งแต่แรก มาถึงตอนนี้ เรื่องราวที่ได้ฟังก็ยิ่งทำให้เขาสนใจมากขึ้น
       "ถ้าอย่างนั้นคุณคงไม่คิดจะแต่งงานกับคนผิวดำสินะ" หลี่เจี๋ยซักต่อด้วยความอยากรู้
       ชายชราหัวเราเสียงดังแล้วตอบว่า "ผมไม่คบค้าสมาคมกับพวกเขา แล้วจะไปแต่งงานกับคนผิวดำได้อย่างไรกัน พูดตามตรง ในตอนนั้นผมรู้สึกว่า คนผิวขาวทุกคนที่แต่งงานกับคนผิวดำ ล้วนทำให้พ่อแม่ของเขาต้องอับอายขายหน้า"
       จากนั้นชายชราก็เล่าต่อไปว่า เมื่อสมัยเรียนอยู่ที่บอสตัน เขาประสบอุบัติเหตุ แม้ภัยพิบัติในครั้งนั้นจะไม่ทำให้ถึงกับต้องเสียชีวิต แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็บอดสนิท มองอะไรไม่เห็นอีกเลย
       หลังออกจากโรงพยาบาล เขาได้เข้าไปอยู่ในศูนย์ฟื้นฟูทางสายตาแห่งหนึ่ง เขาศึกษาการใช้อักษรเบรลล์จนเชี่ยวชาญ และได้ฝึกฝนทักษะในการใช้ชีวิตของคนตาบอด เช่น การอาศัยไม้เท้าในการเดินถนน นานวันเข้าก็ปรับตัวและเริ่มใช้ชีวิตตามลำพังได้ แต่แล้วเรื่องที่ทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจก็เกิดขึ้น เนื่องจากตามองไม่เห็น เขาจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่า คนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้นเป็นคนผิวขาวหรือผิวดำ
       เขาเล่าปัญหานั้นให้เจ้าหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษาทราบ และเจ้าหน้าที่ก็พยายามให้คำแนะนำ สำหรับเขา เจ้าหน้าที่ผู้นั้นเป็นเสมือนครูและเพื่อนที่ดี จึงให้ความเชื่อถือไว้วางใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เล่าให้ฟังทุกอย่าง

       หลังจากวันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นั้นก็บอกกับชายชราว่า เขาเองก็เป็นคนผิวดำ ตอนที่ทราบเรื่องนี้ ชายชราไม่ได้รู้สึกตระหนกตกใจ แต่กลับสงบนิ่งอย่างมาก เขารู้สึกว่าอคติไม่ได้กระโดดออกมาจากหัวใจในตอนนั้น หากแต่ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ

       เนื่องจากมองไม่เห็นว่า คนที่คบหาด้วยเป็นคนผิวขาวหรือผิวดำ สำหรับชายชราแล้ว สีผิวสูญเสียความหมายที่เคยมีไปโดยสิ้นเชิง ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่า ขอเพียงอีกฝ่ายเป็นคนดี ไม่ใช่คนเลว ก็เพียงพอแล้ว
       ในตอนท้ายชายชรากล่าวว่า "ผมสูญเสียการมองเห็น แต่ขณะเดียวกันก็สูญเสียอคติไปด้วย นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขเหลือเกิน"
       รถไฟมาถึงสถานีบอสตัน ผู้ที่มารอรับชายชราบนชานชาลาคือภรรยาของเขา เป็นหญิงชราผมขาวโพลนทั้งศีรษะเช่นกัน สตรีที่สวมกอดชายชราอย่างสนิทสนมผู้นี้ เป็นคนผิวดำ!


---


เรื่องนี้กำลังบอกอะไรเราอยู่?

       ในโลกใบนี้ สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่อคติ หากแต่คือความจริง ความงดงาม อันเป็นพลังของวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเราทุกคน ถ้าอยากจะเข้าใจใครสักคนอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าถึงจิตใจของเขา
       ความหยิ่งยโสและอคติ รังแต่จะชักนำให้เราเดินไปสู่หนทางผิด วางลงแล้วขอบข่ายของชีวิตเราจะกว้างขึ้น สามารถก้าวขึ้นไปสู่หนทางแห่งความสุข และความเบิกบานใจอันราบรื่นได้


Cr. 
'สุขได้ถ้าวางเป็น'/สนพ.Be Bright
กวน จยา เวย เขียน/ทิภาพร เยี่ยมวัฒนา แปล

โลกทรรศนะ - Facebook Page

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น